เมื่อสงครามมาเยือน
เมื่อสงครามมาเยือน
เรื่อง
: นิโคลา เดวีส์ ภาพ
: รีเบกกา คอบบ์ แปล
: บุลวัชร เสรีชัยพร สำนักพิมพ์
: แซนด์คล็อคบุ๊คส์
แด่ผู้เยียวยาหัวใจในยามที่สงครามมาเยือน
.
วันที่สงครามมาเยือน บ้านที่เคยสุข โรงเรียนที่เคยสงบก็เปลี่ยนแปลงไป สงครามทลายเมืองทั้งเมืองจนเป็นซากปรักหักพัง สงครามพรากทุกสิ่ง สงครามพรากทุกคน เหลือทิ้งไว้แต่เพียงเด็กหญิงที่บอบช้ำ เด็กหญิงหนีออกจาเมืองไปพร้อมคนอื่น ๆ แม้จะอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าสงครามจะยังคงตามมา ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง หลังดวงตา ในเวลาฝัน และเกาะกุมหัวใจ
.
ในเมืองใหม่ที่ดูเหมือนว่าสงครามจะยังมาไม่ถึง แต่จริง ๆ แล้ว สงครามมาถึงแล้ว เพราะทุกคนปิดประตูใส่ มีสีหน้าเฉยเมย และเบือนหน้าหนี เด็กหญิงเดินไปถึงโรงเรียน เด็ก ๆ กำลังเรียน แต่คุณครูก็บอกว่า “ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง” เด็กหญิงเข้าใจในทันทีว่าสงครามก็มาถึงที่นี่เหมือนกัน
.
เด็กหญิงกลับไปขดตัวใต้ผ้าห่มในมุมมืดที่เพิงพัก สงครามครองโลกทั้งใบไว้แล้ว แต่ทันใดนั้น เด็กชายคนหนึ่งยกเก้าอี้มาให้พร้อมกับบอกว่า “ฉันเอานี่มาให้ เธอจะได้ไปโรงเรียน”
.
เรื่องราวจบลงตรงหน้าสุดท้าย เด็ก ๆ กำลังเดินผ่านเก้าอี้ที่มีรูปแบบหลากหลายเรียงรายเต็มถนน ราวกับว่าเด็ก ๆ กำลังขับไล่สงครามออกไปในทุกก้าวที่พวกเขาก้าวเดิน
.
สงครามมีอยู่ในดินแดนที่เหมือนจะไกลเรา แต่อันที่จริง สงคราม อาจอยู่หน้าประตูบ้าน ในบ้านหรือในใจเรานี่เอง
.
หน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ อาจเป็นทางออกของการยุติสงคราม ขับไล่สงครามในชุมชน สงครามในบ้าน และสงครามในใจ ภาพเก้าอี้ที่มีรูปแบบหลากหลาย เด็ก ๆ ที่ต่างก็มีความหลากหลาย ทั้งสีผิว ผม รูปร่าง กำลังเดินออกจากมุมซ้ายสุดของหนังสือ ภาพในหน้านี้สื่อถึงความแตกต่างที่มีอยู่มากมายในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นชาติพันธุ์ อายุ เพศ กายภาพ ภาษา ศักยภาพ วัฒนธรรม ความคิด ความรู้สึก ความเชื่อ และอื่น ๆ อีกมากมายที่สารพัดจะแตกต่าง หากจะขับไล่สงคราม น่าจะต้องเริ่มที่เข้าใจและเคารพในความแตกต่างอันหลากหลายเสียก่อน
.
เก้าอี้ที่เด็กชายและเพื่อน ๆ นำมาให้ ชวนให้นึกถึงคำกล่าวของท่านพุทธทาสภิกขุที่กล่าวว่า สันติภาพหมายถึง การมีมิตรภาพสูงสุดต่อกัน โดยเริ่มต้นที่ตัวเราแล้วขยายออกไปสู่คนอื่นและสิ่งอื่น สันติภาพเริ่มต้นที่ภายในใจของเรา และนั่นเป็นเรื่องที่ต้องช่วยเด็ก ๆ สร้างและรักษาไว้ก่อนที่จะเติบโตไปโดยซึมซับภาวะสงครามไปโดยไม่ทันรู้ตัว
.
ภาวะสงครามอาจมาเยือนชีวิต ด้วยเสียงตวาดของแม่ ด้วยการข่มขู่ของพ่อ ด้วยการรังแกของเพื่อน ด้วยการบังคับของครู ด้วยการชี้นำของสังคมที่อาจแฝงการแข่งขัน ความริษยา และการรุมประฌามทำลายล้าง
.
หากสันติภาพเริ่มในใจ เด็ก ๆ จะรู้จักรับมือกับภาวะสงครามทั้งในใจตัวเอง และเมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น สันติภาพเริ่มแรกจึงต้องเริ่มที่ตัวเราต้องเป็นผู้มีมิตรภาพกับตัวเราให้ได้เสียก่อน นั่นน่าจะเป็นการสร้างความสงบสุขในใจให้เป็น แบบที่สมาคมนักการศึกษานานาชาติเพื่อสันติภาพโลก (World Council of Curriculum and Instruction) เรียกว่าสันติภาพภายในบุคคล (Intrapersonal peace)
.
ศาสตราจารย์ โยฮัน กัลตุง (Johan Galtung) กล่าวว่า สันติภาพ ครอบคลุมทั้งธรรมชาติ มนุษย์ สังคม และโลก ทั้งหมดอยู่รวมกันอย่างสันติได้ภายใต้เงื่อนไขสองประการ คือ ความหลากหลายและการพึ่งพาอาศัยกัน
.
หนังสือภาพสำหรับเด็กเล่มนี้จึงไม่ได้สะท้อนเรื่องราวของสงคราม หากแต่แทรกทฤษฎีสันติวิธีไว้ด้วย ในยามที่เด็กลี้ภัยมาอยู่ในเมืองใหม่ ผู้ใหญ่ในเมืองกลับถูกสงครามครอบงำหัวใจ แสดงออกผ่านใบหน้าที่เฉยเมย เบือนหน้าหนี ปิดประตูใส่ และการไม่มีที่นั่งในโรงเรียน ในขณะที่เด็กชายชวนเพื่อน ๆ นำเก้าอี้มาให้ วางเก้าอี้เรียงรายเต็มสองข้างทางบนถนน นี่คือการเปลี่ยนรูปความขัดแย้ง (Conflict Transformation) โดยสันติวิธี แก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ภายใต้เงื่อนไขของการยอมรับความหลากหลายและการพึ่งพาอาศัยกัน ตัวละครในหนังสือเล่มนี้กำลังทำหน้าที่สำคัญในการแสดงตัวแบบที่หลากหลายให้เราเลือกมอง
.
สำหรับเด็กเล็ก ๆ สันติภาพเริ่มที่การส่งเสริมให้เด็ก ๆ มองเห็นคุณค่าของตนเอง พึงพอใจกับสิ่งที่ตนเองมี รู้จักชื่นชมตนเองและผู้อื่น รู้จักให้อภัยตนเองและผู้อื่น รู้จักอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข แบ่งปัน ให้อภัยตนเองและผู้อื่นเป็น รู้จักกำกับตนเองให้มีความอดกลั้น แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ รู้จักยอมรับ เห็นคุณค่า และเคารพความแตกต่างระหว่างบุคคล แน่นอนว่า...ต้องการบ่มเพาะจากผู้ใหญ่และสังคมเล็ก ๆ ที่เด็กอาศัยอยู่
.
สันติภาพเริ่มที่ในใจ จากในใจขยายสู่ในบ้าน จากในบ้านจึงขยายไปสู่ผู้อื่นและสังคมที่กว้างไกลขึ้น ก่อนที่สงครามจะมาเยือน หรือ อาจมาเยือนแล้ว เราก็ยังสร้างสันติสุขไว้ในใจเพื่อเป็นเกราะป้องกันไว้ก่อนได้ และหนังสือเล่มนี้ก็ชวนให้นึกถึงพลังของมนต์บทนี้ Mantra for Peace … Om shanti shanti shanti
.
ปิดหนังสือลงตรงหน้าสุดท้าย น้ำตาคลอเพราะความหดหู่สิ้นหวังใต้ผ้าห่มในเพิงพักมืดดำ มลายสิ้นไปด้วยภาพเด็กชายถือเก้าอี้ยืนอยู่มุมขวาของหน้ากระดาษที่สว่างจ้า หวนมานึกถึงตนเองบ้าง เคยไหมที่เมื่อถึงคราวสงครามมาเยือนชีวิต แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีมนุษย์คนหนึ่งแสดงความปรารถนาดีด้วยการทำสิ่งดี ๆ ให้กับเราซึ่งเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งอย่างสุดกำลัง ความซาบซึ้งใจนี้ คือ พลังในหัวใจที่จะไม่อยู่แค่ตัวเราเอง แต่จะเป็นพลังยิ่งใหญ่ให้ทำสิ่งยิ่งใหญ่สู่ผู้อื่นได้ต่อไปด้วย
.
ขอมอบบทความนี้แด่...ใครหลาย ๆ คนในชีวิตที่ทำให้รู้ซึ้งว่า “การที่มนุษย์คนหนึ่งทำทุกสิ่งด้วยความปรารถนาดีเพื่อมนุษย์อีกคนหนึ่งนั้นงดงามเพียงใด” และเพราะเหตุนี้เอง “เมื่อสงครามมาเยือน” จึงเป็น “เล่มนี้ที่รัก”
.
เขียน : ดร.จารุทัศน์ วงศ์ข้าหลวง