เมื่อสงครามมาเยือน

แด่ผู้เยียวยาหัวใจในยามที่สงครามมาเยือน

.

วันที่สงครามมาเยือน  บ้านที่เคยสุข  โรงเรียนที่เคยสงบก็เปลี่ยนแปลงไป  สงครามทลายเมืองทั้งเมืองจนเป็นซากปรักหักพัง  สงครามพรากทุกสิ่ง สงครามพรากทุกคน เหลือทิ้งไว้แต่เพียงเด็กหญิงที่บอบช้ำ  เด็กหญิงหนีออกจาเมืองไปพร้อมคนอื่น ๆ แม้จะอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว  แต่ก็ดูเหมือนว่าสงครามจะยังคงตามมา  ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง  หลังดวงตา  ในเวลาฝัน และเกาะกุมหัวใจ  

.

ในเมืองใหม่ที่ดูเหมือนว่าสงครามจะยังมาไม่ถึง  แต่จริง ๆ แล้ว สงครามมาถึงแล้ว เพราะทุกคนปิดประตูใส่ มีสีหน้าเฉยเมย และเบือนหน้าหนี  เด็กหญิงเดินไปถึงโรงเรียน  เด็ก ๆ กำลังเรียน แต่คุณครูก็บอกว่า “ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง” เด็กหญิงเข้าใจในทันทีว่าสงครามก็มาถึงที่นี่เหมือนกัน 

.

เด็กหญิงกลับไปขดตัวใต้ผ้าห่มในมุมมืดที่เพิงพัก  สงครามครองโลกทั้งใบไว้แล้ว แต่ทันใดนั้น  เด็กชายคนหนึ่งยกเก้าอี้มาให้พร้อมกับบอกว่า “ฉันเอานี่มาให้ เธอจะได้ไปโรงเรียน”

.

เรื่องราวจบลงตรงหน้าสุดท้าย เด็ก ๆ กำลังเดินผ่านเก้าอี้ที่มีรูปแบบหลากหลายเรียงรายเต็มถนน ราวกับว่าเด็ก ๆ กำลังขับไล่สงครามออกไปในทุกก้าวที่พวกเขาก้าวเดิน 

.

สงครามมีอยู่ในดินแดนที่เหมือนจะไกลเรา  แต่อันที่จริง สงคราม อาจอยู่หน้าประตูบ้าน  ในบ้านหรือในใจเรานี่เอง

.

หน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้  อาจเป็นทางออกของการยุติสงคราม  ขับไล่สงครามในชุมชน สงครามในบ้าน และสงครามในใจ  ภาพเก้าอี้ที่มีรูปแบบหลากหลาย เด็ก ๆ ที่ต่างก็มีความหลากหลาย ทั้งสีผิว ผม รูปร่าง กำลังเดินออกจากมุมซ้ายสุดของหนังสือ  ภาพในหน้านี้สื่อถึงความแตกต่างที่มีอยู่มากมายในโลกใบนี้  ไม่ว่าจะเป็นชาติพันธุ์ อายุ เพศ กายภาพ ภาษา ศักยภาพ วัฒนธรรม ความคิด ความรู้สึก ความเชื่อ และอื่น ๆ อีกมากมายที่สารพัดจะแตกต่าง  หากจะขับไล่สงคราม  น่าจะต้องเริ่มที่เข้าใจและเคารพในความแตกต่างอันหลากหลายเสียก่อน

.

เก้าอี้ที่เด็กชายและเพื่อน ๆ นำมาให้  ชวนให้นึกถึงคำกล่าวของท่านพุทธทาสภิกขุที่กล่าวว่า สันติภาพหมายถึง การมีมิตรภาพสูงสุดต่อกัน  โดยเริ่มต้นที่ตัวเราแล้วขยายออกไปสู่คนอื่นและสิ่งอื่น  สันติภาพเริ่มต้นที่ภายในใจของเรา และนั่นเป็นเรื่องที่ต้องช่วยเด็ก ๆ สร้างและรักษาไว้ก่อนที่จะเติบโตไปโดยซึมซับภาวะสงครามไปโดยไม่ทันรู้ตัว 

.

ภาวะสงครามอาจมาเยือนชีวิต  ด้วยเสียงตวาดของแม่  ด้วยการข่มขู่ของพ่อ  ด้วยการรังแกของเพื่อน  ด้วยการบังคับของครู  ด้วยการชี้นำของสังคมที่อาจแฝงการแข่งขัน ความริษยา และการรุมประฌามทำลายล้าง

.

หากสันติภาพเริ่มในใจ  เด็ก ๆ จะรู้จักรับมือกับภาวะสงครามทั้งในใจตัวเอง และเมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น  สันติภาพเริ่มแรกจึงต้องเริ่มที่ตัวเราต้องเป็นผู้มีมิตรภาพกับตัวเราให้ได้เสียก่อน  นั่นน่าจะเป็นการสร้างความสงบสุขในใจให้เป็น  แบบที่สมาคมนักการศึกษานานาชาติเพื่อสันติภาพโลก (World Council of Curriculum and Instruction) เรียกว่าสันติภาพภายในบุคคล (Intrapersonal peace)

.

ศาสตราจารย์ โยฮัน กัลตุง (Johan Galtung) กล่าวว่า สันติภาพ ครอบคลุมทั้งธรรมชาติ มนุษย์ สังคม และโลก  ทั้งหมดอยู่รวมกันอย่างสันติได้ภายใต้เงื่อนไขสองประการ คือ ความหลากหลายและการพึ่งพาอาศัยกัน 

.

หนังสือภาพสำหรับเด็กเล่มนี้จึงไม่ได้สะท้อนเรื่องราวของสงคราม  หากแต่แทรกทฤษฎีสันติวิธีไว้ด้วย  ในยามที่เด็กลี้ภัยมาอยู่ในเมืองใหม่  ผู้ใหญ่ในเมืองกลับถูกสงครามครอบงำหัวใจ  แสดงออกผ่านใบหน้าที่เฉยเมย เบือนหน้าหนี ปิดประตูใส่ และการไม่มีที่นั่งในโรงเรียน  ในขณะที่เด็กชายชวนเพื่อน ๆ นำเก้าอี้มาให้  วางเก้าอี้เรียงรายเต็มสองข้างทางบนถนน  นี่คือการเปลี่ยนรูปความขัดแย้ง (Conflict Transformation) โดยสันติวิธี  แก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ภายใต้เงื่อนไขของการยอมรับความหลากหลายและการพึ่งพาอาศัยกัน  ตัวละครในหนังสือเล่มนี้กำลังทำหน้าที่สำคัญในการแสดงตัวแบบที่หลากหลายให้เราเลือกมอง

.

สำหรับเด็กเล็ก ๆ สันติภาพเริ่มที่การส่งเสริมให้เด็ก ๆ มองเห็นคุณค่าของตนเอง  พึงพอใจกับสิ่งที่ตนเองมี  รู้จักชื่นชมตนเองและผู้อื่น  รู้จักให้อภัยตนเองและผู้อื่น  รู้จักอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข  แบ่งปัน  ให้อภัยตนเองและผู้อื่นเป็น  รู้จักกำกับตนเองให้มีความอดกลั้น แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์  รู้จักยอมรับ เห็นคุณค่า และเคารพความแตกต่างระหว่างบุคคล  แน่นอนว่า...ต้องการบ่มเพาะจากผู้ใหญ่และสังคมเล็ก ๆ ที่เด็กอาศัยอยู่

.

สันติภาพเริ่มที่ในใจ จากในใจขยายสู่ในบ้าน จากในบ้านจึงขยายไปสู่ผู้อื่นและสังคมที่กว้างไกลขึ้น   ก่อนที่สงครามจะมาเยือน หรือ อาจมาเยือนแล้ว  เราก็ยังสร้างสันติสุขไว้ในใจเพื่อเป็นเกราะป้องกันไว้ก่อนได้  และหนังสือเล่มนี้ก็ชวนให้นึกถึงพลังของมนต์บทนี้  Mantra for PeaceOm shanti shanti shanti

.

ปิดหนังสือลงตรงหน้าสุดท้าย น้ำตาคลอเพราะความหดหู่สิ้นหวังใต้ผ้าห่มในเพิงพักมืดดำ  มลายสิ้นไปด้วยภาพเด็กชายถือเก้าอี้ยืนอยู่มุมขวาของหน้ากระดาษที่สว่างจ้า  หวนมานึกถึงตนเองบ้าง  เคยไหมที่เมื่อถึงคราวสงครามมาเยือนชีวิต  แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีมนุษย์คนหนึ่งแสดงความปรารถนาดีด้วยการทำสิ่งดี ๆ ให้กับเราซึ่งเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งอย่างสุดกำลัง  ความซาบซึ้งใจนี้ คือ พลังในหัวใจที่จะไม่อยู่แค่ตัวเราเอง  แต่จะเป็นพลังยิ่งใหญ่ให้ทำสิ่งยิ่งใหญ่สู่ผู้อื่นได้ต่อไปด้วย

.

ขอมอบบทความนี้แด่...ใครหลาย ๆ คนในชีวิตที่ทำให้รู้ซึ้งว่า “การที่มนุษย์คนหนึ่งทำทุกสิ่งด้วยความปรารถนาดีเพื่อมนุษย์อีกคนหนึ่งนั้นงดงามเพียงใด”   และเพราะเหตุนี้เอง “เมื่อสงครามมาเยือน” จึงเป็น “เล่มนี้ที่รัก”

.

เขียน : ดร.จารุทัศน์ วงศ์ข้าหลวง

Visitors: 32,126