โลกที่ต่างกันของเด็กกับผู้ใหญ่
โลกที่ต่างกันของเด็กกับผู้ใหญ่
พัฒนาการทางภาษาของเด็กวัยอนุบาล อายุ 4-6 ขวบ มีความก้าวหน้ามากขึ้น เด็กจะเริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆได้ดีขึ้นมาก เริ่มเลือกใช้คำมาเรียงประโยคเพื่อสื่อความหมายต่างๆได้ดีขึ้น ช่างซัก ช่างถาม และช่างพูดเป็นพิเศษในช่วงวัยนี้ ในทุกๆกิจกรรม เด็กมักจะพูดไปด้วยทำไปด้วย บางครั้งอาจดูเหมือน "คิดเสียงดัง" คิดอะไร รู้สึกอะไร ทำอะไร ก็จะบรรยายออกมา และพฤติกรรมที่พบได้เมื่อเด็กเข้าสู่วัยนี้ คือ การเล่าเรื่องราวที่เกินจริง หรือ ไม่จริงบ้าง ทำนอง “ช่างโม้”
ตัวอย่าง (เรื่องเล่าของเด็ก)
- ฝนตก เพราะท้องฟ้าเสียใจ
- หนูมีน้ำมูก เพราะว่าหนูดื้อ
- เพื่อนไม่ให้ของเล่น เพราะหนูคุยเก่งเกินไป
- ถ้าพ่อได้ตุ๊กตา พ่อต้องดีใจ
- เพื่อนแกล้ง (เพื่อนแค่จับแขน)
เพื่อนเอานิ้วจิ้มตา (เพื่อนแค่ชี้มา)
- ครูตีหัว (ครูแค่สัมผัสเมื่อเด็กเดินผ่านทีละคน)
- วันนี้เพื่อนเอามีดมาหั่นขา หั่นอย่างนี้ๆ
- อาหารที่โรงเรียนร้อนมากๆ ปากพองเลย
- เพื่อนไม่มาโรงเรียน เพราะไปโรงพยาบาลกันหมด
- พ่ออ้วนมาก พุงป่องมาก กินข้าววันละ 50 จาน
- แม่ไปเอาน้องออกจากท้องมา น้องหนูเดินออกมาจากท้องแม่เลย
- ที่โรงเรียนมีท่อน้ำที่ดูดเด็กไปตั้งหลายคนแล้ว
- ฝนตก น้ำท่วม ต้องนั่งเรือดำน้ำเข้าบ้าน
- วันนี้ เพื่อนเข้าห้องน้ำกันทั้งวันเลยนะ หนูยังไม่ได้เข้าเลย
- คุณครูไม่ให้เพื่อนกลับบ้าน นอนที่โรงเรียนกันหมด จนฟ้ามืด
- แม่พาไปสวนสัตว์มา เกือบโดนเสือจับกิน เกือบไม่ได้มาเรียนแล้วเนี่ย
เมื่อทุกเรื่องราวเรียงกัน อาจพอเดาได้ว่าไม่มีเรื่องใดจริงเลยสักเรื่อง แม้จะมีเค้าเรื่องจริงอยู่ก็ตาม แต่ถ้าเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นเดี่ยวๆ บางเรื่อง อาจกลายเป็นปัญหาทันที ถ้าผู้ใหญ่ที่ฟัง ไม่ตั้งสติให้ดี
การที่เด็กเล่าเรื่องราวปะปนจินตนาการเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะเด็กโกหกแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงพฤติกรรมหนึ่งที่ปรากฏได้ในช่วงวัยนี้ อันเนื่องมาจากการที่เด็กยังไม่มีความคิดเป็นเหตุผลเพียงพอ และมักมีมุมมอง มีความคิด มีความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งต่างๆโดยใช้ตนเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นวัยที่ เพียเจต์ ใช้คำว่า Preoperation Thinking คือ วัยก่อนที่คิดเป็นเหตุเป็นผลได้นั่นเอง ดังนั้น ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้ใหญ่ต้องช่วยเด็กๆให้ก้าวผ่านพัฒนาการช่วงนี้ไปสู่ช่วงวัยต่อไปให้ได้อย่างดีที่สุด
อันดับแรก ต้องเข้าใจว่าพฤติกรรมนี้เป็นพัฒนาการตามวัย เพราะเด็กมีพัฒนาการทางภาษาที่ก้าวหน้าขึ้น จึงอยากพูด อยากคุย กับคนที่เขาไว้ใจ เพื่อฝึกปรือการใช้ภาษาและสร้างความสัมพันธ์กับคนที่เขารัก (ถ้าไม่ไว้ใจ ไม่รัก เขาจะไม่ค่อยพูดด้วย) ถ้าสังเกตเด็กให้ดีจะพบว่าหัวข้อการสนทนาเริ่มกว้างขวางออกไป เปลี่ยนจากการสนใจแต่ตัวเองในช่วงก่อนหน้านี้ เป็นการเริ่มสนใจบุคคลและสิ่งต่างๆรอบตัว เริ่มพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เพราะพัฒนาการของเด็กก้าวหน้าไปแล้ว ในช่วงเตรียมอนุบาลจะพูดได้เพียงสิ่งที่เห็น เมื่อเข้าสู่อนุบาลจะเริ่มพูดถึงสิ่งที่ไม่เห็นตรงหน้ามากขึ้น
เราจึงพบว่าเด็กอนุบาลมีเรื่องเล่าต่างๆมาเล่าให้ฟังอยู่เสมอ อยู่บ้านเล่าเรื่องที่โรงเรียน อยู่โรงเรียนเล่าเรื่องที่บ้าน ถ้ามีเพื่อนร่วมบทสนทนานั้นด้วย เรื่องหนึ่งอาจกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งได้ทันที เพราะเด็กไม่ได้สนใจว่าใครพูดอะไร หรือต้องการฟังคำตอบอะไร เพราะเขาสนใจแต่สิ่งที่เขาอยากจะพูดเท่านั้น เช่น
เด็กคนหนึ่งพูดว่า “อาหารร้อนมาเลยเลย ปากพองแล้วเนี่ย”
เพื่อนได้ยินก็พูดต่อว่า “ร้อนก็เปิดพัดลมสิ”
อีกคนต่อว่า “แดดร้อนเหมือนอยู่ชายหาด”
อีกคนเสริมว่า “เดี๋ยวแม่จะพาไปเชียงใหม่ ไปหายาย”
จากเรื่อง อาหารร้อน กลายเป็นเรื่อง ไปเชียงใหม่ ได้ในเพียงมีครู่เดียว เด็กกำลังคุยเรื่องเดียวกัน แต่อาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องเดียวกันในมุมมองของผู้ใหญ่ มุมมองของเด็กกับมุมมองของผู้ใหญ่จึงต่างกัน ในเรื่องมุมมองที่แตกต่างนี้เอง สามารถสังเกตได้จากภาพวาดของเด็ก ภาพของเด็กมักมีความจริงอยู่ แต่ก็มีจินตนาการผสมปะปนอยู่ด้วย แบบที่ผู้ใหญ่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะมีความสามารถด้านนี้ต่ำกว่า ผู้ใหญ่เห็นแต่สิ่งที่เป็นจริง แต่เด็กเห็นอะไรที่มากกว่านั้น
อันดับที่สอง เมื่อทราบแล้วว่ามุมมองของเด็กและมุมมองของผู้ใหญ่ต่างกัน เมื่อผู้ใหญ่เป็นผู้ฟัง ต้องฟังในมุมมองของเด็ก แต่ต้องประคองสถานการณ์ด้วยมุมมองของผู้ใหญ่ อย่าเพิ่งรีบมีอารมณ์ร่วม อย่ารีบกระโจนลงไปอยู่ในเรื่องเล่าของเด็ก อย่ารีบกระวีกระวาดจัดการเพียงเพราะสิ่งที่ได้ยิน เรื่องอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นทุกคำ เพราะเราเป็นผู้ใหญ่นี่เอง จึงต้องมีสติและมีวุฒิภาวะมากกว่า เมื่อเด็กเล่าเรื่องราวใดๆ ต้องฟัง แต่ฟังแล้วชวนเด็ก คิด คุย ไปในทางที่ดีงาม เป็นแบบอย่างในการแก้ปัญหาอย่างนุ่มนวล และอาศัยโอกาสในช่วงนี้สร้างความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่น
เมื่อพ้น 10 ขวบไปแล้ว เด็กจะเริ่มขยายความสนใจไปสู่เพื่อนในวัยเดียวกันมากกว่า เขาจะไม่ค่อยคุยหรือเล่าเรื่องราวให้ครูหรือพ่อแม่ฟังเหมือนในช่วงปฐมวัยอีก ในช่วงปฐมวัยนี้ ครูและพ่อแม่จึงต้องเป็นผู้ฟังที่ดี เป็นเพื่อนคุย และประคองลูกไปในทางที่ดีงามโดยไม่มุ่งสั่งสอนจนเกินไป ถ้าเรื่องใดที่ไม่กระทบใครและเป็นเรื่องสนุกก็ต้องสนุกสนานร่วมกันไป เป็นการช่วยเตรียมเด็กให้เข้าสู่วัยที่มีความคิดเป็นเหตุเป็นผล ที่เพียเจต์เรียกว่า Concrete Operations
ในทางกลับกัน หากผู้ใหญ่ที่เด็กสนิทสนมด้วยในวัยนี้ ไม่ได้สร้างความผูกพันที่พอเหมาะพอดี ไม่ได้เป็นสติและวุฒิภาวะให้เด็ก เด็กเล่าอะไรแล้วผู้ใหญ่วิ่งตามจัดการให้จนเด็กเกิดการเรียนรู้ว่า เมื่อเขาพูดอะไร เขาจะได้รับผลที่เขาพึงพอใจเสมอ เขาจะทำเช่นนั้นซ้ำอีก จากเรื่องเล็กสู่เรื่องใหญ่ จนอาจเป็นไปได้ว่าการที่เด็กจะก้าวผ่าน Preoperation Thinking ไปสู่ Concrete Operations ตามวัยที่เหมาะสมนั้น เป็นไปได้ยากขึ้น และอาจมีผลต่อช่วงวัยถัดๆไปได้อีก
เพราะพัฒนาการทางภาษาและการคิดเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน เด็กจึงต้องมีภาษาแม่ที่แข็งแรง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาทักษะการคิด การที่ผู้ใหญ่เข้าใจว่าเด็กแต่ละวัยมีความคิดเช่นไร ย่อมจะทำให้เข้าใจพัฒนาการของเด็กมากขึ้น
เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก เด็กเข้าใจโลกและมองโลกแตกต่างจากผู้ใหญ่ พัฒนาการด้านการคิดยังไม่สมบูรณ์แบบ เรื่องที่มีความหมายกับผู้ใหญ่อาจไม่สำคัญเลยสำหรับเด็ก ในขณะที่เรื่องสำคัญของเด็กอาจไม่มีความหมายสำหรับผู้ใหญ่เลยก็ได้ ในบางครั้งจึงไม่จำเป็นต้องเอามุมมองของผู้ใหญ่ใส่ลงไปในเรื่องของเด็ก เพราะ...โลกของเด็กกับผู้ใหญ่นั้นต่างกัน
....................................................................................................................................................................................................................
เอกสารอ้างอิง
มัตสุดะ, มิชิโอะ (2547). สารานุกรมการเลี้ยงดูเด็ก. กรุงเทพฯ : หมอชาวบ้าน.
สป๊อก, เบนจามิน. (2553). คัมภีร์เลี้ยงลูก. กรุเทพฯ : อมรินทร์พรินติ้ง.
Driscoll, Amy. (2002). Early Childhood Education. USA : Pearsons.